
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง
ประวัติความเป็นมา
ประวัติการก่อตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง พ.ศ.
2446 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี
และเสด็จสำรวจเมืองโบราณอู่ทอง
ทรงนิพนธ์เล่าเรื่องเมืองอู่ทองในรายงานเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรีและทรง
นิพนธ์หนังสือเรื่องนิทานโบราณคดี
พ.ศ.2476
ราชบัณฑิตยสภาได้เริ่มทำการสำรวจทำแผนผังเมืองโบราณอู่ทองโดยสังเขป
ซึ่งปรากฏว่าเป็นเมืองโบราณสำคัญที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีแห่งหนึ่ง
พ.ศ. 2502
กรมศิลปากรได้จัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
ขึ้นเป็นอาคารชั่วคราวเพื่อเก็บรักษาโบราณวัตถุที่ได้จากการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองโบราณอู่ทอง
พ.ศ. 2504
กรมศิลปากรทำการสำรวจขุดแต่งโบราณสถานที่มีกระจายอยู่ทั่วไปในเมืองโบราณ
อู่ทองเพิ่มเติม พบโบราณวัตถุสมัยทวารดีจำนวนมาก
พ.ศ. 2507-2509
ศาตราจารย์ช็อง บวสเซลีเย่ร์(M.JeanBoisselier)
ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ชาวฝรั่งเศส
และหัวหน้าหน่วยศิลปากรในขณะนั้น
ได้ทำการสำรวจขุดแต่งโบราณสถานในเมืองอู่ทอง
และศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีกับเมืองโบราณอู่ทอง
พ.ศ.2508-2509
กรมศิลปากรได้จัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อู่ทองขึ้นเป็นการถาวร
เพื่อเก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้จากขุดค้นทางโบราณคดี
เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อู่ทอง เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2509

นิทรรศการถาวร
อาคารจัดแสดงที่ 1
จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเมืองโบราณอู่ทองและวัฒนธรรมทวารวดี
แสดงถึงพัฒนาการของเมืองโบราณอู่ทอง ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
กระทั่งพัฒนาเข้าสู่สังคมประวัติศาสตร์สมัยทวารวดี
ประกอบด้วยห้องจัดแสดง 2 ห้อง
ห้องจัดแสดงที่ 1 บรรพชนคนอู่ทอง
(สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และการรับวัฒนธรรมจากภายนอก)ห้องบรรพชนคนอู่ทอง
จัดแสดงถึงพัฒนาการของเมืองโบราณอู่ทอง เมืองโบราณแห่งนี้
พบหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์แบบสังคมเกษตรกรรมยุคหินใหม่ต่อเนื่องถึงยุคโลหะ
เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว ต่อมาประมาณ 2,000 ปี
พบหลักฐานโบราณที่แสดงว่า
เมืองโบราณอู่ทองเป็นเมืองท่าศูนย์กลางการติดต่อขายสำคัญของชุมชนโบราณในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับประเทศสำคัญของโลกในเวลานั้น
เช่น ลูกปัดชนิดต่างๆ
ทำด้วยลูกปัดต่างๆทำด้วยหินมีค่าที่นำเข้าจากประเทศอินเดีย
เหรียญกษาปณ์โรมัน ปูนปั้นรูปพ่อค้าชาวเปอร์เซีย ฯลฯ ราวพุทธศตวรรษที่
8-10 หรือเมื่อประมาณ 1,600-1,800 ปีที่ผ่านมา
พบหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือพุทธศาสนาในเมืองโบราณอู่ทอง
โดยเฉพาะพุทธศาสนาแบบหินยานหรือเถรวาท
ทำให้เมืองอู่ทองเกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบทางวัฒนธรรมเข้าสู่วัฒนธรรมทวารวดี
ซึ่งเป็นวัฒนธรรมสมัยประวัติศาสตร์ยุคแรกสุดบนผืนแผ่นดินไทย
โบราณวัตถุสำคัญที่จัดแสดง ได้แก่ เครื่องประดับทองคำ
ลูกปัดทองคำสมัยทวารวดี ลูกปัดที่ทำจากหินแก้ว
แผ่นดินเผาภาพพระภิกษุอุ้มบาตร อิทธิพลศิลปะอมราวดี
ซึ่งถือเป็นโบราณวัตถุที่ได้รับอิทธิพลอินเดียที่มีอายุเก่าที่สุดเท่าที่พบในประเทศไทย
แผ่นดินเผ่ารูปเทวดา ตราประทับดินเผา จารึกดินเผา
จารึกแผ่นทองแดงเหรียญกษาปณ์โรมัน เหรียญเงินมีจารึก
และพระพุทธรูปสำริด
ห้องจัดแสดง 2
อู่ทองศรีทวารวดี (วัฒนธรรมทวารวดีที่เมืองโบราณอู่ทอง) ห้องอู่ทองศรีทวารวดี
จัดแสดงเรื่องราวและความสำคัญของเมืองโบราณอู่ทองในฐานะเมืองประวัติศาสตร์ยุคแรกของประเทศไทย
เป็นศูนย์กลางการค้าและศูนย์กลางพระพุทธศาสนาก่อนแพร่กระจายความเจริญไปสู่ชุมชนโบราณร่วมสมัยอื่นๆ
เมืองโบราณอู่ทองเป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดี มีผังเมืองเป็นรูปวงรี
ตัวเมืองมีคูน้ำคันดินล้อมรอบภายในตัวเมืองและบริเวณโดยรอบมีซากโบราณกระจายอยู่ไม่น้อยกว่า
20 แห่ง
ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่ตั้งของโบราณสถานคอกช้างดิน
กลุ่มศาสนาสถานและสิ่งก่อสร้างเนื่องในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู
ลัทธิไศวนิกาย เมืองโบราณอู่ทองมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-16
หรือประมาณ 1,000-1,400 ปีที่ผ่านมา
เป็นหลักฐานแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุและวิทยาการต่างๆในอดีต
อันมีผลจากการผสมผสานวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับการรับวัฒนธรรมจากประเทศอินเดีย
ก่อให้เกิดรูปแบบทางวัฒนธรรมที่เรียกว่า ทวารวดี มีลักษณะที่สำคัญคือ
การวางผังเมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ
การนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทการสร้างศาสนสถานด้วยอิฐขนาดใหญ่
และการมีรูปแบบทางศิลปกรรมเฉพาะของตนเอง
โบราณวัตถุสำคัญที่จัดแสดง ได้แก่
ธรรมจักรศิลา พระพุทธรูปสำริด พระพุทธรูปดินเผา ประติมากรรมดินเผา
ลูกปัด เครื่องประดับ เครื่องมือเครื่องใช้ ชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม
ลวดลายปูนปั้น ฯลฯ
โดยเฉพาะธรรมจักรศิลาพร้อมแท่นและเสาตั้งซึ่งถือเป็นโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมที่พบเพียงชิ้นเดียวในประเทศไทย
อาคารจัดแสดงที่ 2
จัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับดินแดนสุวรรณภูมิ
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของเมืองโบราณอู่ทอง เส้นทางการค้าทางทะเล
และเมืองโบราณอู่ทองในฐานะศูนย์กลางของศาสนาพุทธ
โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้
ห้องจัดแสดงชั้นบน ส่วนที่ 1
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์บนผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิจัดแสดงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของดินแดนสุวรรณภูมิ
แหล่งการค้าสำคัญของโลกยุคโบราณ
ซึ่งสันนิษฐานว่าคือดินแดนที่เป็นประเทศไทย
และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน
ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์กระทั่งเข้าสู่สังคมเมือง
และการค้าระหว่างชุมชนโบราณต่างๆทั้งในและภายนอกด้วยโบราณวัตถุและสื่อจัดแสดงประเภทต่างๆที่ทันสมัย
ห้องจัดแสดงชั้นบนส่วนที่ 2
สุวรรณภูมิการค้าของโลกยุคโบราณจำลองเหตุการณ์การค้าทางทะเลจากคาบสมุทรอินเดียสู่ดินแดนสุวรรณภูมิเมื่อราว
3,000 ปีที่ผ่านมาโดยใช้สื่อระบบโสตทัศนูปกรณ์
แสดงถึงการเดินเรือของพ่อค้าชาวต่างชาติ
เส้นทางการค้าและเมืองท่าสำคัญในเวลานั้น
ซึ่งเชื่อว่าส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเมืออู่ทองโบราณโดยตรง
อาคารจัดแสดงหมายเลข 2
ห้องจัดแสดงชั้นล่างอู่ทองศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาจัดแสดงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อประมาณ
1,600-1,800 ปีที่ผ่านมา เมืองโบราณอู่ทอง อรุณรุ่งแห่งอารยธรรมไทย
เป็นเมืองสำคัญยุคแรกที่ได้รับอิทธิพลทางศาสนาพุทธจากอินเดีย
ซึ่งได้กลายมาเป็นจุดกำเนิดวัฒนธรรมทวารวดีในเวลาต่อมา
โดยหลักฐานว่าพระพุทธศาสนาได้เข้ามาประดิษฐานที่เมืองโบราณอู่ทองเป็นจุดแรกในดินแดนประเทศไทยจัดแสดงโดยใช้โบราณวัตถุสำคัญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
แบบจำลองเจดีย์ธรรมจักร
และการขุดค้นทางโบราณคดีที่มีเมืองโบราณอู่ทองด้วยเทคนิคการจัดแสดงอันทันสมัยพร้อมภาพยนตร์แอนนิเมชั่น


โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุชิ้นเยี่ยม
โบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
แผ่นดินเผาภาพพระภิกษุอุ้มบาตร
ศิลปะอินเดียแบบอมราวดีประมาณพุทธศตวรรษที่
9-10 (หรือราว 1,600-1,700 ปีมาแล้ว) ลักษณะแผ่นดินเผาภาพภิกษุ 3 องค์
ยืนอุ้มบาตรครองจีวรคลุม จีวรมีลักษณะเป็นริ้ว
แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอมราวดีของอินเดีย
สันนิษฐานว่าทำขึ้นเพื่อประดับศาสนสถาน
**หมายเหตุ
ถือเป็นโบราณวัตถุอิธิพลศิลปะอินเดียที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบในประเทศไทย
ชิ้นส่วนปูนปั้นภาพพระพุทธรูปนาคปรก
ศิลปะอินเดียแบบอมราวดี
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 9-10 หรือประมาณ 1,600-1,700 ปีมาแล้ว
ลักษณะปูนปั้นภาพพระพุทธรูปนาคปรก ชำรุด เหลือเฉพาะส่วนฐาน
เป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับขัดสมาธิไขว้พระบาทหลวมๆแสดงถึงอิทธิพลศิลปะอมราวดีของอินเดีย
พระหัตถ์ทั้งสองวางประสานกันที่พระเพลา ด้านล่างเป็นขนดนาค 3
ชั้นซ้อนกัน
แผ่นดินเผารูปเทวดาเหาะ
ศิลปะทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13
หรือประมาณราว 1,300-1,400 ปีมาแล้ว
ลักษณะแผ่นดินเผาทำเป็นภาพนูนต่ำรูปบุคคลเอียงตัวทำท่าเหาะ
ยกแขนและขาข้างขวาไปด้านหลัง ขาซ้ายยื่นไปทางด้านหน้า
สวมเครื่องประดับศีรษะแสดงถึงความเป็นบุคคลชั้นสูง
ซึ่งน่าจะหมายถึงเทวดา มีสายคาดเอวพันรอบตัวโดยขมวดเป็นปม
มีแถบผ้าพลิ้วไปทางด้านหลังคล้ายกับศิลปะอินเดียแบบคุปตะ
ปูนปั้นพระพุทธรูปปางเสด็จลงจากดาวดึงส์
ศิลปะทวารวดี
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-14 หรือราว1,200-1,400 ปีมาแล้ว
ลักษณะนิยมเรียกพระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นในท่าแสดงธรรม
โดยพระอังคุต (นิ้วหัวแม่มือ)และพระดัชนี(นิ้วชี้)จรดกันเป็นวงกลมว่า
ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์
ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จกลับมายังโลกมนุษย์
ภายหลังจากทรงเทศนาโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในช่วงเข้าพรรษา(ทั้งนี้คติในการสร้างพระพุทธรูปลักษณะเช่นนี้เดิมคงหมายถึงการแสดงธรรมขอพุทธองค์)
พระพุทธรูปองค์นี้ทำด้วยปูนปั้น มีลักษณะพระพักตร์แบบพื้นเมือง
ครองจีวรห่มคลุม พระหัตถ์ทั้งสองข้างทำปางแสดงธรรม
สันนิษฐานว่าทำขึ้นเพื่อประดับตกแต่งศาสนาสถาน
แผ่นดินเผาภาพกินรี ศิลปะทวารวดี
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 10-12 หรือราว 1,400-1,600
ปีมาแล้วลักษณะแผ่นดินเผาภาพกินรีสวมเครื่องประดับศีรษะ
อยู่ในท่าเคลื่อนไหว
ยกมือขวาและขาซ้ายขึ้นไปด้านหลังเนื่องจากแผ่นภาพชิ้นนี้ค่อนข้างลบเลือนและบางส่วนแตกชำรุดไป
จึงไม่สามารถทราบรายละเอียดที่ชัดนักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่าลำตัว
และขา น่าจะเป็นลักษณะของสิงห์มากกว่านก จึงอาจจะเป็นสิงห์
ที่มีหน้าเป็นคนซึ่งเป็นภาพที่นิยมทำกันแพร่หลายในอินเดียภาคเหนือสมัยราชวงศ์คุปตะ
พระโพธิสัตว์ปัทมปาณิ
ศิลปะศรีวิชัย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 14-15 หรือราว
1,100-1,200
ปีมาแล้วลักษณะประติมากรรมสำริดหล่อเป็นรูปพระโพธิสัตว์ปัทมปาณิหรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์องค์สำคัญในศาสนาพุทธลัทธิมหายานประจำยุคปัจจุบัน
ประทับยืนบนฐานทรงกลม
เกล้าพระเกศาสูงมีรูปพระอมิตาภะปางสมาธิอยู่ที่หน้ามวยผม
พระหัตถ์ขวาถือลูกประคำ พระหัตถ์ซ้ายถือก้านดอกบัวและคนโทน้ำ มีสายธุรำ
พาดคล้องที่พระอังสาซ้าย
สิงห์สำริด ศิลปะทวารวดี
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือราว 1,200-1,300 ปีมาแล้ว
ลักษณะสิงโตเป็นสัตว์สำคัญที่ปรากฏในงานศิลปะมาตั้งแต่สมัยทวารวดีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ทั้งนี้สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากประเทศอินเดีย
เนื่องจากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ไม่ปรากฏสัตว์ดังกล่าวอยู่ในธรรมชาติสิงโตสำริดชิ้นนี้เป็นของหายาก
นอกจากจะมีขนาดเล็กและหล่อด้วยโลหะสำริดแล้ว
ฝีมือในการปั้นยังแสดงถึงอารมณ์ และลักษณะที่เป็นธรรมชาติ
ถือเป็นโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมอีกชิ้นหนึ่งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อู่ทอง
เครื่องประดับรูปกินรี
ศิลปะทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 9-10 หรือประมาณ 1,600-1,700
ปีมาแล้ว ลักษณะด้านหลังเครื่องประดับทำเป็นห่วงกลม(คล้ายตุ้มหู)
ด้านหน้าทำเป็นรูปบุคคลมีหน้าเป็นมนุษย์สมตุ้มหูทรงกลม มีผมเป็นมวย
ลำตัวมีขนปกคลุม ขาคล้ายสัตว์ประเภทนก(สันนิษฐานว่าเป็นรูปกินรี)
เครื่องประดับทองคำรูปหน้าบุคคล
ศิลปะทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 9-10
หรือราวประมาณ 1,600-1,700 ปีมาแล้ว
ลักษณะเครื่องประดับทองคำรูปใบหน้าบุคล (ยักษ์)
ด้านหลังทำเป็นห่วงกลมด้านหน้าเป็นรูปบุคคลสามเครื่องประดับศรีษะเป็นช่อแหลมมีขอบกระบังหน้าเป็นสันนูน
ตาโปน คิ้วหนา จมูก ใหญ่งุ้ม แก้มป่อง ปากอ้ากว้างเห็นฟันแลบลิ้นออกมา
เครื่องประดับทองคำ(ลูกปัด)
ศิลปะทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 หรือราว 1,400 ปีมาแล้ว
ลักษณะลูกปัดทองคำขนาดเล็กรูปทรงกลมพร้อมจี้ทองคำฝังพลอย
ตัวจี้เป็นรูปวงกลมมีรัศมีโดยรอบขอบทำลายเม็ดไข่ปลา
ตรงกลางมีพลอยสีขาวประดับ
ลูกปัดที่พบในเมืองโบราณอู่ทองส่วนมากอยู่ในวัฒนธรรมทวารวดี
มีทั้งทำจากหินมีค่าแก้ว ดินเผา และทองคำ
ลูกปัดเหล่านี้นอกจากความสวยงามแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีการทำ
และเป็นหลักฐานแสดงการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติอีกด้วย
เศียรพระพุทธรูปทองคำ ศิลปะทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-14 หรือราว
1,200-1,400 ปีมาแล้ว
ลักษณะส่วนของเศียรพระพุทธรูปขนาดเล็กพระพักตร์กลม พระขนงต่อกันปีกกา
พระเนตรปิดพระโอษฐ์อมยิ้ม พระกรรณยาวเรียว พระพักตร์แสดงความมีเมตตา
แม้จะมีขนาดเล็กแต่มีลายละเอียดคมชัดแสดงถึงความชำนาญของช่างทองสมัยนั้น
ตราดินเผารูปสัญลักษณ์ทางศาสนาประกอบด้วยอักษรจารึก
ศิลปะทวารวดี
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือราว 1,200-1,300 ปีมาแล้ว
ลักษณะตราดินเผาทรงกลมแบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านบนเป็นภาพวัว ตรีศูลครุฑ
(หรือหงส์)โดยเรียงจากซ้ายไปขวา ด้านล่างเป็นตัวอักษร 1 แถว
เป็นอินเดียแบบปัลลวะภาษาสันสกฤต หมายถึงเทพตรีมูรติ คือพระศิวะ
หรือพระอิศวร พระพรหม พระวิษณุ หรือพระนารายณ์
โดยภาพสัตว์และสัญลักษณ์ด้านบนอาจหมายถึงพาหนะและศาสตราวุธของพระศิวะและพระวิษณุ
ตราดินเผารูปสิงห์
ศิลปะทวารวดี
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-14 หรือราว 1,200-1,400 ปีมาแล้ว
ลักษณะแผ่นดินเผาทรงกลม
ด้านหน้าตรงกลางทำเป็นรูปสิงห์ยืนหันด้านข้างชันขาหน้าขึ้นตั้งตรง
ส่วนขาหลังทั้งคู่งอเล็กน้อย
ภาพของสิงห์ลักษณะดังกล่าวคล้ายกับสิงห์ที่ปรากฏบนพุทธบัลลังก์สมัยอรราวดีของอินเดียประมาณพุทธศตวรรษที่
6 8
เหรียญกษาปณ์โรมัน
ลักษณะด้านหน้ามีรูปพระพักตร์ด้านข้างของจักรพรรดิซีซ่าร์วิคโตรินุส
สวมมงกุฎยอดแหลมเป็นแฉกมีตัวอักษรล้อมรอบอยู่ริมขอบเหรียญ IMP C
VICTORINUS PF AUG ซึ่งเป็นคำย่อของ Emperor Caesar Victorinus Felix
Augusteแปลว่าจักรพรรดิซีซ่าร์วิคโตรินุส ศรัทธา ความสุข เป็นสง่า
ส่วนด้านหลังของเหรียญ เป็นรูปเทพอาธีนา สำหรับจักรพรรดิวิคโตรินุสนั้น
เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรโรมันครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 812-814
เหรียญเงินจารึก ศรีทวารวดี
ศวรปุณยศิลปะทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือราว 1,200-1,300
ปีมาแล้ว ลักษณะเหรียญโลหะ(เงิน) ทรงกลมด้านหนึ่งมีจารึกอักษรปัลลวะ
ภาษาสันสกฤตสองบรรทัด อ่านได้ความว่า ศรีทวารวติ ศวรปุณย ซึ่งแปลว่า
การบุณย์แห่งพระเจ้าศรีทวารวดี
ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นลวดลายรูปแม่โคกับลูกโคในลักษณะหันด้านข้าง
ซึ่งภาพของแม่โคนั้นถือเป็นสัญญาลักษณ์แห่งพลังอำนาจด้านการผลิตของธรรมชาติที่อาจจะมีความสัมพันธ์กับคติของการบูชาคชลักษณมี
(เทพีแห่งโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์)



เรือนลาวโซ่ง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อู่ทองได้จำลองเรือนลาวโซ่งจัดแสดงไว้ภายใน
เรือนลาวโซ่งถือเป็นรูปแบบบ้านอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะชาวไทยทรงดำ
หรือลาวโซ่ง ชาติพันธุ์สำคัญชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในอำเภออู่ทอง
ไทยทรงดำ หรือ ลาวโซ่ง เป็นกลุ่มคนเชื้อสายไท
มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศลาวและเวียดนาม
ในสมัยธนบุรีและสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
กองทัพไทยได้ยกไปนครเวียงจันทร์และเมืองต่างๆในอาณาจักรล้านช้าง(ประเทศลาว)ได้กวาดตอนผู้คนครอบครัวชาวลาวต่างๆมาจำนวนมาก
รวมทั้งชาวลาวโซ่งมายังอาณาจักรสยาม(ประเทศไทย)
ชาวลาวโซ่งที่เข้ามาในครั้งนั้นได้ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดเพชรบุรี
ต่อมาได้ย้ายถิ่นฐานที่อยู่ไปทำมาหากินในจังหวัดอื่นๆ
รวมทั้งที่จังหวัดสุพรรณบุรีด้วย
ในปัจจุบันชุมชนชาวไทยทรงดำในจังหวัดสุพรรณบุรีอาศัยอยู่ในเขตอำเภออู่ทอง
อำเภอเมือง อำเภอสองพี่น้อง และอำเภอบางปลาม้า
ชาวไทยทรงดำมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเองพูดกันในกลุ่มเชื้อสายเดียวกัน
มีเอกลักษณ์ทางการแต่งกายที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือ
เครื่องแต่งกายสีดำที่ย้อมครามจนเข้มเป็นสีน้ำเงินดำ
ชาวไทยทรงดำมีความเชื่อ การนับถือผี สิ่งที่เหนือธรรมชาติ
และวิญญาณบรรพบุรุษ มีการประกอบพิธีที่เป็นแบบแผนมาจนปัจจุบัน เช่น
พิธีเสนเฮือน หรือการไหว้ผีเรือน พิธีขึ้นบ้านใหม่ พิธีแต่งงาน
และพิธีศพ ที่มีความคล้ายคลึงกับพิธีของคนจีนในบางประการ

เครื่องประดับจี้ทองคำ
ผลิตขึ้นโดยมีต้นแบบจากโบราณวัตถุสมัยทวารวดีที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง
มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 หรือประมาณ 1,200-1,400 ปีที่ผ่านมา
ถือเป็นโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าทั้งด่านประวัติศาสตร์ และศิลปะ
ผลิตขึ้นโดยใช้โลหะมงคล นวโลหะ
เคลือบทองไมครอนด้วยมาตรฐานงานจิวเวอรี่ จำนวนจำกัดเพียง 300 ชิ้น
ราคาชิ้นละ 1,500 บาท ทุกชิ้นมีหมายเลขกำกับ
ผลิตภายใต้การควบคุมคุณภาพโดยกรมศิลปากร
ต่างหูทองคำตุ้มหู
ผลิตขึ้นตามรูปแบบของตุ้มหูทองคำ
สมัยทวารวดีมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 หรือ ประมาณ 1,200-1,400
ปีที่ผ่านมาพบภายในเมืองโบราณอู่ทอง
ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง
ถือเป็นโบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่มีคุณค่าอย่างยิ่งทางด้านประวัติศาสตร์และศิลปกรรม
ผลิตขึ้นใหม่โดยใช้โลหะสำริดซึ่งเป็นโลหะผสมเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ค้นพบ
เคลือบทองไมรครอนอย่างดีเป็นงานสืบสานภูมิปัญญาของบรรพชนไทยผลิตจำนวนจำกัดเพียง
500 คู่ ราคาชิ้นละ 1,000 บาท ภายใต้การควบคุมของกรมศิลปากร

Uthongmuseum
การติดต่อ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ถนนมาลัยแมน ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง
จังหวัดสุพรรณบุรี 72160
โทรศัพท์/โทรสาร
035-551021
การเดินทาง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ตั้งอยู่ใกล้ที่ว่าการอำเภออู่ทอง
บนถนนมาลัยแมน อำเภออู่ทอง
จังหวัดสุพรรณบุรี ห่างจากจังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณ 30 กิโลเมตร
แผนที่เส้นทาง
สุพรรณ - อ.อู่ทอง
เวลาเปิด-ปิด
วันเวลาทำการ : วันพุธ-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
เวลา 9.00 น.-16.00 น.
ปิด : วันจันทร์-วันอังคาร
ค่าเข้าชม
ค่าธรรมเนียมเข้าชมชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท
หมายเหตุ ยกเว้นค่าธรรมเนียม นักเรียน นักศึกษาในเครื่องแบบ พระภิกษุ
สามเณร และนักบวชใน ศาสนา ต่างๆและผู้สูงอายุ เกิน 60 ปี
ค่าพิกัด
GPS
14.372751, 99.891264

|








|